ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
ขอบคุณบทความดีๆ จาก http://www.eclubthai.com
บทที่ 8 ...ศักยภาพที่ซ่อนเร้น...
"ฉันมีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้เธอฟัง" เศรษฐีเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่ม ชายหนุ่มขยับตัวเพื่อที่จะตั้งใจฟัง เพราะเขารู้ดีว่า อยู่ดีๆ ท่านเศรษฐีคงไม่เล่านิทานให้เขาฟังเฉยๆ เป็นแน่แท้ มันจะต้องมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ท่านอยากจะให้คำแนะนำ หรือให้อุทาหรกับเขา และก็ไม่แน่เหมือนกัน เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับเขาโดยตรงเลยก็เป็นได้
เมื่อเห็นชายหนุ่มพร้อมที่จะฟังแล้ว เศรษฐีจึงเริ่มเรื่อง
"ที่หมู่บ้านคนเลี้ยงช้าง เขาจะพากันเข้าป่าเพื่อไปจับเอาช้างมาเลี้ยงเพื่อใช้งาน แต่การจะฝึกช้างป่าเพื่อให้เชื่องและใช้งานได้ จึงต้องเอาลูกช้างป่ามาเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ และค่อยๆ ฝึก" เศรษฐีชำเรืองมองดูชายหนุ่มที่คงกำลังงงๆ อยู่ว่าทำไมเล่าเรื่องช้าง และก็เล่าต่อว่า
"สิ่งแรกที่คนเลี้ยงช้างทำเมื่อได้ลูกช้างป่ามาก็คือ ทำให้มันเจ็บและกลัวเกรงมนุษย์ เพื่อเป็นการบอกมันว่า มนุษย์ สามารถทำให้มันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส หรือแม้แต่ทำอันตรายถึงชีวิตของมันได้ ถ้ามันไม่อยากเจ็บปวดหรืออยากมีชีวิตรอด มันต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและเชื่อฟังมนุษย์"
"นั่นคือการปลูกฝังจิตใต้สำนึกของช้างให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น... ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ แต่มันส่งผลเช่นเดียวกันกับที่มนุษย์ทำ สิ่งนั้นก็คือ เมื่อเสร็จจากการนำลูกช้างป่าไปฝึกกลับมาถึงบ้าน คนเลี้ยงช้างก็จะนำโซ่มาผูกไว้ที่ขาหลังข้างหนึ่งของมัน และผูกปลายอีกข้างของโซ่ไว้กับต้นเสา เป็นเช่นนี้อยู่ทุกๆ วัน และก็เช่นกัน เมื่อคนเลี้ยงช้างไปแล้ว เจ้าช้างน้อยก็คิดว่าตนเองเป็นอิสระ จะเดินไปไหนก็ได้ แต่ทันทีที่มันเดินไกลจากต้นเสาจนโซ่ตรึง... โซ่ก็จะรั้งขาด้านหลังของมันไว้ มันเองก็พยายามดึงเพื่อให้หลุด แต่ทั้งโซ่และต้นเสา เกินกำลังของช้างตัวน้อยๆ ที่จะเอาชนะได้
สิ่งหนึ่งที่มันเรียนรู้ก็คือ ยิ่งดึงแรงเท่าไร มันก็จะยิ่งเจ็บขามากเท่านั้น"
"วันแล้ววันเล่า มันก็ยังคงดึงเพื่อให้หลุดอยู่ทุกครั้งที่โดนล่ามโซ่เส้นนี้กับต้นเสาต้นนี้ จนในที่สุด การดึงของมันจึงดึงเพียงแค่โซ่ตึง แล้วมันก็ผ่อนแรง เพราะมันรู้ว่าถ้าดึงแรงไปกว่านั้น มันจะเจ็บขาอย่างแน่นอน ความต้องการหลุดออกไปจากพันธนาการนั้นก็มี แต่การดึงเพื่อเอาชนะก็เจ็บ วันเวลาผ่านไป มันก็ยอมจำนนแต่โดยดีว่า เมื่อถูกล่ามโซ่กับต้นเสา มันจะไม่สามารถไปไหนได้ และเมื่อมันเติบใหญ่ขึ้นมา มีพละกำลังมหาศาล ชักลากขอนไม้ใหญ่โตมโหฬาลขนาดไหนก็ได้ ใช้แรงกำลังตามที่มนุษย์จะบงการได้ทุกอย่าง"
"แต่เมื่อตกเย็น คนเลี้ยงช้างนำมันมาผูกโซ่ไว้กับต้นเสาที่เดิมที่มันถูกล่ามไว้ตั้งแต่ยังเล็ก
มันกลับไม่สามารถเอาชนะเพียงแค่โซ่และต้นเสาต้นเล็กๆ เมื่อเทียบกับตัวของมันที่ใหญ่โต ณ เวลานี้ได้ มันก็เพียงแค่เดินไปด้านหน้าพอให้โซ่ดึงขามันจนตึง แล้วมันก็ผ่อนแรงและเดินกลับเป็นอยู่เช่นนี้ไปจนวันที่มันตาย"
เศรษฐีนิ่งเงียบไปแต่ยังคงจ้องมองที่หน้าของชายหนุ่ม
"การจะประสบความสำเร็จในเส้นทางธุรกิจก็เช่นเดียวกัน... มันจะมีกับดักฝังเข้าไปทางจิตใต้สำนึกโดยที่เราไม่รู้ตัว จนทำให้ความพยายามที่จะประสบความสำเร็จไม่เป็นผล เพราะขาดกำลังและความทุ่มเทที่มากพอ โซ่กับต้นเสาในนิทาน มันก็คือความล้มเหลวแต่ละครั้ง รวมทั้งเสียงของคนรอบข้างตัวเรา ที่มักจะคอยบอกเราเสมอๆ ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นทำอะไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็มักจะบอกว่า มันทำไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ เมื่อฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรามากเข้าๆ ความลังเลในความสำเร็จจะเกิดขึ้นทันที ยิ่งนำมารวมเข้ากับจำนวนครั้งที่ล้มเหลว พลังแห่งศักยภาพในตนเองที่แท้จริง จะไม่ถูกขับเคลื่อนออกมา"
"แต่ความสำเร็จกลับต้องการพลังที่ซ่อนเร้นนั้น ความสำเร็จต้องการความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ความสำเร็จต้องการความทุ่มเทจากศักยภาพทั้งหมดที่มี"
"คนทุกคนมีศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่ไม่ทุกคนที่สามารถนำศักภาพที่ซ่อนเร้นนั้นออกมาใช้ได้ จึงทำให้ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ทุกคน"
"นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก ที่จะส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ... แล้วฉันจะค่อยๆ เล่านิทานให้เธอฟังบ่อยๆ..." กล่าวจบ เศรษฐีก็ขอตัวเข้านอน ทิ้งให้ชายหนุ่มนึกทบทวนถึงเรื่องที่เศรษฐีเล่าให้ฟัง พร้อมกับพิจารณาตัวเองว่ามีอะไรที่บ่งบอกว่าเขาเป็นแบบช้างหรือไม่
"สวัสดีค่ะ คุณเป็นเจ้าของบ้านที่ติดป้ายประกาศให้เช่า ใช่ไหมคะ"
เสียงสุภาพสตรีคนหนึ่งดังขึ้นมาตามสายโทรศัพท์ ถามถึงบ้านที่ชายหนุ่มซื้อไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
"ใช่ครับ... คุณต้องการจะเช่าบ้านเหรอครับ"
ชายหนุ่มตอบกลับไป
"เปล่าค่ะ... ดิฉันต้องการขอซื้อต่อคุณค่ะ"
สุภาพสตรีปลายสายตอบกลับมา
"ถ้าอย่างนั้น รอผมสักครู่นะครับ ผมจะเปิดบ้านให้คุณดู ประมาณ 15 นาทีผมจะไปถึงที่บ้านหลังนั้นครับ"
ชายหนุ่มกำลังว่างอยู่พอดี และอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นด้วย
"ได้ค่ะ"
หลังจากพาสุภาพสตรีท่านนั้นดูบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ตกลงราคาขายได้ที่ 5 แสนบาท ซึ่งก็เป็นราคาซื้อ-ขายกันในตลาด ณ เวลานั้น
"ซื้อบ้านหลังนี้ไม่ถึง 5 วัน ทำเงินได้ตั้ง 2 แสน"
ชายหนุ่มคิดในใจ
"ถ้าอย่างนั้น ROI ก็คือ (200,000/12,000)*100 ได้เท่ากับ 1,666.66% ในเวลาไม่ถึง 5 วันนั่นเอง"
ชายหนุ่มเริ่มทบทวนที่ไปที่มาของโอกาสในครั้งนี้ เขาได้บ้านหลังนี้มาโดยบังเอิญ เพราะเจ้าของเก่ามาบอกขายให้เขา แล้วทำไมเขาจึงได้ราคาถูกกว่าราคาตลาดมากมายนักล่ะ
ก็เพราะว่าเจ้าของเก่าขี้เกียจรอเวลา ต้องการเงินสดในทันที หรือไม่ก็กำลังร้อนเงินอย่างหนัก
ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม... มันน่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกอย่างแน่นอน
แต่มันคงไม่ลอยมาหาเราเองง่ายๆ แบบนี้บ่อยนัก เราจะต้องเป็นฝ่ายไปหาโอกาสเองดีกว่า
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ออกตะเวนไปตามที่ต่างๆ เพื่อดูป้ายประกาศขายบ้าน และดูบ้านด้วยตัวเอง เพื่อดูสภาพบ้านว่าทรุดโทรมมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้เขามีวงเงินอยู่ 2 แสน เพื่อใช้เป็นเงินวางดาวน์ ซึ่งก็น่าจะกู้ธนาคารได้ที่วงเงิน 5 ล้านบาท เขาเพ่งความสนใจไปที่บ้านมือสอง แทนที่จะเป็นบ้านสร้างใหม่ เพราะบ้านสร้างใหม่นั้น ราคาขาย ย่อมเป็นราคาตลาดอยู่แล้ว และบ้านมือสองที่เขามองหาก็คือ บ้านที่ดูโทรมๆ ซอมซ่อ แต่หากจับมาปรับปรุ่งแต่งเติมแล้วกลายเป็นบ้านใหม่ที่สวยงามได้ราคา
เรื่องแบบนี้ ต้องอาศัยการมองเป็นด้วย
เมื่อเจอบ้านเป้าหมายที่เขาต้องการแล้ว เขาจะทำการต่อรองราคาไปที่ 50% ของราคาตลาด นั่นก็แสดงว่า เขาได้สืบราคาตลาดของแต่ละทำเลเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แล้วก็รอการต่อรองราคา และเขาก็จะจบเต็มที่ไม่เกิน 70% ของราคาตลาด...
"ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร" ชายหนุ่มคิด
สองเดือนผ่านไป... ชายหนุ่มได้บ้านมาแค่ 5 หลังที่เข้าเงื่อนไขที่เขาตั้งใจไว้ หลังจากปรับปรุ่งให้สวยงามแล้ว เขาขายไปได้แล้ว 3 หลัง อีกสองหลังให้คนเช่าอยู่
"ขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะคนเช่าบ้านเป็นคนจ่ายค่าผ่อนงวดธนาคารให้"
ชายหนุ่มคิดเกี่ยวกับบ้านอีก 2 หลังที่ขายยังไม่ได้
ภายใน 2 เดือน ชายหนุ่มมีเงินสดในมือ 2 ล้านบาท จากเงินสด 12,000 บาทในตอนเริ่มต้น บ้าน 5 หลังที่เขาได้มานั้น เป็นผลมาจากการที่เขาไปดูบ้านเป็น 100 หลังทีเดียว... มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ในการที่จะทำเงินด้วยวิธีนี้ อาศัยความขยันและสายตาที่แหลมคม บวกกับความใจเย็นไม่อยากได้เป็นที่ตั้ง...
" 5.5 ล้านบาท ไม่แพงเลยครับสำหรับคอนโดสวยหรูใจกลางเมืองแบบนี้"... นายหน้าขายคอนโดพูดกระตุ้นให้ชายหนุ่มอยากซื้อ หลังจากที่เขาเห็นประกาศขายคอนโดห้องนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่คอนโดใหม่ แต่สภาพห้องและเฟอร์นิเจอร์ อยู่ในระดับของใหม่เลยทีเดียว แสดงว่าเจ้าของอยู่เอง และดูแลรักษาเป็นอย่างดี
เขาประมาณราคาตลาดแล้ว น่าจะอยู่ที่ 5.5 - 6 ล้านบาท นายหน้าเสนอราคามาที่ 5.5 ล้านบาท
"4 ล้าน" ชายหนุ่มเสนอราคากลับไป
"คุณลองไปคุยกับเจ้าของคอนโดดูก็แล้วกันครับ แล้วยังไง ติดต่อกลับมาหาผมอีกทีก็แล้วกัน" ชายหนุ่มแสดงทีท่าว่าอยากได้ แต่ไม่ง้อราคา
แน่นอน.... ชายหนุ่มเข้าใจดีว่า นายหน้าย่อมต้องอยากได้ราคาสูงๆ เพราะค่านายหน้าที่เขาจะได้ย่อมมากขึ้นไปด้วย อย่างกรณีนี้ ค่านายหน้าอยู่ที่ 3-5 % อย่างแน่นอน
นายหน้าเสนอราคามาที่ 5.5 ล้าน เพราะเขาก็ต้องชั่งใจแล้วล่ะว่า เป็นราคาที่น่าจะเรียกได้ และคนซื้อก็น่าจะพอใจซื้อในราคานี้ด้วย เพราะก็รู้ราคาตลาดเป็นอย่างดีเช่นกัน และงานนี้ นายหน้าจะได้ค่านายหน้า อย่างน้อยที่สุด 3% ก็เป็นเงิน 1.65 แสนบาท ไม่น้อยเลยทีเดียว
"5 ล้านบาทครับ เจ้าของเขายืนกรานว่าขอขายในราคานี้"
เสียงนายหน้าโทรมารายงานชายหนุ่มในวันรุ่งขึ้น
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน..." ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
"ผมจะให้คุณ 10% ทุกๆ บาทที่คุณสามารถลดลงได้จาก 5 ล้าน"
ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอกลับไป
นายหน้าไม่ใช่เจ้าของคอนโด ที่เขามาทำงานนี้ก็เพราะค่านายหน้าที่เขาจะได้รับ... และถ้านายหน้าลองกลับไปคำนวณดูข้อเสนอของเขา การลดราคาให้ได้มากที่สุด ย่อมทำให้เขาได้เงินมากกว่าการเสนอราคาให้ได้สูงที่สุด...
นายหน้าจึงกลับไปหาเจ้าของคอนโดน และยกแม่น้ำทั้ง 500 สาย สารพัดเรื่อง มาประกอบ เพื่อจูงใจให้เจ้าของคอนโดลดราคาลงมาอีก สุดท้าย ราคาก็มาจบกันที่ 4 ล้านบาท นายหน้าได้ 3% จากเจ้าของเป็นเงิน 1.2 แสนบาท และได้จากชายหนุ่ม 10% ของเงินที่ลดลงมาคือ 1 ล้านบาท เป็นเงิน 1 แสนบาท รวมแล้วเขาได้เงินจากการขายครั้งนี้ 2.2 แสนบาท ซึ่งถ้าเขาขายที่ 5 ล้าน จะได้เงินค่านายหน้าเพียง 1.5 แสนบาท
ชายหนุ่มเองก็พอใจไม่น้อย เพราะเขาเสียเงิน 1 แสนบาท เพื่อประหยัดไป 9 แสนบาท คุ้มจะตายไป และเขามั่นใจว่าขายได้ไม่ต่ำกว่า 5.5 ล้านบาทอย่างแน่นอน
8 เดือนผ่านไป.... ฐานะของหนุ่มน้อยชาวนา ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของมหาเศรษฐีไม่เท้าทองคำเลย... เขามีเวลาเหลืออยู่เพียง 4 เดือนเท่านั้น...
ธุรกิจที่เขามีอยู่ตอนนี้ก็คือ
1.ธุรกิจน้ำผักและผลไม้ ซึ่งพัฒนามาจาก การขายน้ำอ้อยสด เขามีทั้ง โรงงานผลิตเอง และบริษัทจัดจำหน่ายเอง การขนส่งไปยังเมืองต่างๆ ก็จากบริษัทขนส่งสินค้าของเขา
กำไรจากผลประกอบการทั้งหมด หลังจากหักเป็นเงินสำรองตามการเติบโตแล้ว ก็นำไปพัฒนาธุรกิจให้เติบโตขึ้นไปอีก
2.ธุรกิจรองเท้า เกิดจากความบังเอิญที่ได้ยินเรื่องเมืองคูขาดที่ไม่ชอบใส่รองเท้ากัน... ตอนนี้เขามีแบรนด์เป็นของตัวเอง แต่จ้างโรงงานอื่นผลิตอีกที โดยที่บริษัทเขาเป็นผู้ออกแบบ รองเท้าของเขาเริ่มติดตลาดเป็นที่รู้จักไปทุกเมือง คาดว่า ไม่เกิน 6 เดือนจากนี้ไป จะต้องขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง
3.ห้างสรรพสินค้า พัฒนามาจาก ร้านรองเท้า บวกกับ วิกฤตจากไฟไหม้และคู่แข่ง ขณะนี้อยู่ในการก่อสร้างตัวอาคาร ยังไม่ได้เปิดดำเนินการ คงต้องใช้เวลาอีกเกือบปีจึงจะเสร็จ
ธุรกิจตัวนี้ เขาถือหุ้นอยู่ 25% แต่ก็เป็นหุ้นใหญ่ สาเหตุเพราะปัญหาทางด้านการเงินที่เติบโตไม่ทันธุรกิจ
4.บริษัทจัดจำหน่ายสินค้า พัฒนามาจากการขยายร้านรองเท้าให้เป็นร้านสรรพสินค้า และเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำ จึงเปิดบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า รับสินค้าจากผู้ผลิต นอกจากขายเองที่ร้านแล้ว ยังส่งขายให้กับร้านอื่นๆ ทั่วไป ทุกๆ เมือง
5.บริษัทจัดส่งสินค้า พัฒนามาจาก การรับและส่งสินค้าทางการเกษตร ไปยังเมืองต่างๆ เนื่องจากต้องการลดต้นทุนทางการขนส่ง จึงให้คนอื่นจ่ายค่าขนส่งให้ โดยการรับจ้างขนส่งสินค้า แถมยังมีกำไรอีกต่างหาก ธุรกิจเริ่มเป็นที่รู้จัก
6.บริษัทการเกษตรครบวงจร พัฒนามาจาก การต้องการให้ชาวเมืองได้ลองใส่รองเท้ากัน โดยให้สินค้าการเกษตรเป็นตัวจ่ายค่ารองเท้าให้ชาวเมือง แต่ได้ผลเกินคาด ทำให้เกิดเป็นธุรกิจขึ้นมา ตอนนี้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
7.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เริ่มมาจากการที่มีคนมาบอกขายบ้านให้ แต่ธุรกิจตัวนี้ เขายังไม่สามารถพัฒนาให้มันเดินเองได้ เพราะเขาเองต้องเป็นผู้ออกตระเวนหาบ้านเป้าหมาย ยังหาระบบให้คนอื่นทำแทนไม่ได้
"ผมมีเวลาเหลืออีกแค่ 4 เดือนเองครับ... ผมยังมองไม่เห็นหนทางเลย..."
ชายหนุ่มปรับทุกข์กับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
"ธุรกิจต่างๆ ก็อยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว ถึงแม้จะทำเงินได้มากอยู่... แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้เป้าหมายเลยครับ"
ชายหนุ่มทอดสายตาอย่างเหนื่อยหน่าย
"เธอคิดจะยอมแพ้แล้วเหรอ..." เศรษฐีถามขึ้น
"เปล่าครับ... ผมจะไม่ยอมแพ้ จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย"
ชายหนุ่มตอบ
"งั้นก็ดีแล้ว.... ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะบอกเธอ..."
เศรษฐีเอ่ยขึ้น
"มีอยู่หนทางหนึ่งที่จะทำให้เธอเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน"
เศรษฐีกล่าวต่อ ชายหนุ่มถึงกับโยกตัวเข้ามาใกล้ๆ เพื่อไม่ให้พลาดคำพูดทุกคำของเศรษฐี...
"เธอเคยผ่านวิกฤตมาแล้ว... และเธอก็ได้รับโอกาสที่เกิดขึ้นจากวิกฤต นั้น..."
เศรษฐีหยุดมองหน้าชายหนุ่ม
"นอกจากเธอเองที่เจอวิกฤต... ก็ยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเจอวิกฤตเช่นกัน...
ธุรกิจดีๆ หลายๆ ตัว ต้องปิดกิจการลง เพราะผู้บริหารไม่สามารถแก้ไขวิกฤตนั้นได้..."
"มันน่าเสียดายธุรกิจดีๆ เหล่านั้นเหลือเกิน... หากเธอเข้าไปเจอธุรกิจเหล่านั้นได้ถูกจังหวะ
โอกาสก็จะเป็นของเธอ...."
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของท่านเศรษฐีมาทั้งคืน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง... แต่สิ่งแรกที่เขาจะต้องทำคือ ผ่องถ่ายธุรกิจด้านอสังหาฯ ไปให้ที่ปรึกษารับลูกไปเล่นต่อ
ดังนั้น การประชุมของที่ปรึกษาในวันนี้จึงเกิดขึ้น หลังจากชายหนุ่มเล่าประสบการณ์ในเรื่องที่เขาได้ลองทำเงินจาก อสังหาฯ.... ให้กับกลุ่มที่ปรึกษาฟัง และตอนนี้ เขาก็รอฟังความคิดเห็นของทีมที่ปรึษาแต่ละคน... ว่ามีแนวทางสร้างระบบอะไรขึ้นมาจับธุรกิจนี้
ไม่น่าเชื่อว่า... จากที่เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้ เขาต้องทำเองเท่านั้น แต่ตอนนี้ ข้อสรุปของที่ประชุม กลับสร้างความพึงพอใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก... เพราะเขาสามารถวางมือได้โดยที่ธุรกิจนี้ ก็ยังดำเนินต่อไปได้
สิ่งสำคัญตัวแรกของความสำเร็จในธุรกิจนี้คือ อสังหาฯ ที่เราต้องเห็น และจากประสบการณ์ของชายหนุ่มนั้น 100 หลัง ได้ 5 หลัง ที่ประชุมจึงสรุปออกมาว่า จะต้องเป็นสื่อกลาง การซื้อ-ขาย อสังหาฯ เพื่อสร้างโอกาสให้กับตนเอง ในการได้เห็นสินค้าให้ได้มากที่สุด
วารสาร-เว็บไซด์-คอลเซ็นเตอร์ จึงเกิดขึ้น
พร้อมทั้งเกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ เช่น
-รับบริหาร อสังหาฯ ให้เช่าทุกชนิด โดยหัก 20% จากค่าเช่า
-บริการให้ข้อมูล อสังหาฯ ให้เช่าทุกชนิด ด้วยสื่อ ทั้ง 3
-บริการฝากซื้อ-ฝากขาย อสังหาฯ ทุกชนิด
-ฯ
ชายหนุ่มมอบทุนทั้งหมดที่เขาทำได้จากอสังหาฯ ที่ผ่านมา เป็นเงินลงทุนกับโปรเจ็กนี้... จากนั้น เขาก็มุ่งสู่เรื่องที่อยากจะทำ หลังจากคิดทบทวนคำพูดของเศรษฐีเมื่อคืน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น