ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ บทที่ 2
ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
บทที่ 2 ...ทำไม...ขอบคุณ บทความดีๆ จาก http://www.eclubthai.com
หนุ่มน้อยชาวนาถือหนูตัวนั้นเดินไปตามทางเพื่อจะกลับบ้าน...แต่ในสมองก็ ครุ่นคิดอย่างหนัก...จะทำอย่างไรดีกับหนูตัวนี้นะ...เกิดมาก็ไม่เคยทำการค้า กับเขาสักทีวันวันมีแต่ ทำไร่ไถนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควายหรือไม่ก็ออกไปหาปูหาปลาเอามากินกัน...แล้วนี่ จะต้องสร้างตัวให้รวยที่สุด จากหนูตายหนึ่งตัวยิ่งคิดก็ยิ่งมองไม่เห็นหนทาง...แต่ก็ยังให้ความสนใจใน โอกาสที่เข้ามาในชีวิตจะปล่อยให้มันผ่านไป หรือจะไขว่คว้าไว้ดี...
"หรือเราจะเข้าไปในตัวเมืองดีนะ"ชายหนุ่มคิดในใจ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่อาจจะช่วยให้พบเจอหนทางที่จะก้าวเดินต่อไปยังเป้าหมายได้
"หากกลับบ้านก่อนแล้วเข้าเมืองในวันรุ่งขึ้น หนูนี้อาจจะเน่าก็เป็นได้เอาวะ เพื่อองค์หญิงที่เป็นดั่งดวงใจ วันนี้เราจะไม่กลับบ้านแต่จะตรงเข้าเมืองพร้อมกับทุนที่พระราชาให้มานี้เป็น ไงเป็นกันสิน่า... แล้วค่อยกลับบ้านทีหลังก็ยังได้..."ว่าแล้วหนุ่มน้อยชาวนาก็เปลี่ยนเส้นทาง เดิน เพื่อตรงเข้าสู่ตัวเมือง.....
ระหว่างทาง เขาได้เจอชายชราคนหนึ่งกำลังหาบฟืนงกๆ เงิ่นๆ ...
"คุณตา คุณตา..." หนุ่มชาวนาเรียก"ตาจะหาบฟืนไปไหนเหรอครับ..."
"ข้าจะเอาฟืนเข้าไปขายในเมือง... แล้วเอ็งล่ะ จะไปไหนเร๊อะ"ชายชราเป็นฝ่ายถามบ้าง
"ฉันก็จะเข้าไปในเมืองเหมือนกันจ้าตา" ชายหนุ่มตอบ"เจ้าจะไปธุระอะไรหรือ..." ชายชราถาม
"ฉันจะไปสร้างตัวให้ร่ำรวยกว่าประชาชนคนไหนๆ ในเมืองจ้าตา..."
ชายชราหยุดเดิน แล้วหันมามองดูชายหนุ่มด้วยสีหน้าประหลาดใจ...
"ไปสร้างความร่ำรวยด้วยตัวเปล่าๆ นี่น่ะเหรอวะ..." ชายชราอดที่จะถามไม่ได้...
"เปล่าจ้าตา ฉันมีหนูมาด้วยหนึ่งตัวจ้า..." ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ..."แล้วไอ้หนูนี่ เป็นหนูวิเศษที่จะช่วยให้เจ้าร่ำรวยยังงั้นรึ..." ชายชราถามอีก
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน..." ว่าแล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายชราฟัง...
หลังจากฟังจบ ชายชราก็นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก...ชายหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ควรจะช่วยตาหาบฟืนดีกว่าตาจะได้เดินสบายๆ เข้าเมือง
"มานี่ตา... ฉันหาบฟืนให้ตาเอง ไหนๆ เราก็จะไปทางเดียวกันแล้ว"พูดจบ ชายหนุ่มก็รีบเอื้อมมือไปยกเอาหาบฟืนจากบ่าชายชรา
"ขอบใจเอ็งมากเลยว่ะ... วันนี้ข้าโชคดีแท้ๆ เลยที่เจอเอ็งแต่ข้าก็ไม่รู้จะช่วยเอ็งยังไงจริงๆ...ข้าขนฟืนจากป่าเข้าไป ขายในเมืองมาก็ตั้งหลายปี
ข้าก็ยังไม่เห็นจะรวยเลย นี่เอ็งมีหนูตายแค่ตัวเดียวแล้วเอ็งจะรวยได้ยังไงวะ..."
"ไม่เป็นไรจ้าตา... ฉันจะลองดูให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน"
ชายหนุ่มกับชายชรา คุยกันไปตลอดทางอย่างถูกคอจนมาถึงประตูเมือง... ก่อนจะเข้าประตูเมืองชายชราได้เอ่ยกับชายหนุ่มว่า...
"มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพอจะช่วยเจ้าได้ ก็คือ คำแนะนำ...การที่เจ้าจะยิ่งใหญ่จากดินขึ้นไปเป็นดาวนี่เจ้าจงอ่อนน้อมถ่อมตน ให้มากๆ...ความอ่อนน้อมถ่อมตน จะเป็นบันใดขึ้นสู่ที่สูงให้แก่เจ้าส่วนไอ้หนูตายตัวนั้น ข้าก็จนปัญญาจริงๆ ว่าจะให้เจ้าเอาไปขายให้ใคร..."
ขาย!!... ชายหนุ่มเกิดความคิดที่ดีขึ้นมาทันทีทีแรกก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร... พอชายชราพูดถึงเรื่องขาย...ทำให้เขารู้แล้วว่า.... จะต้องเอาหนูตัวนี้ไปเร่ขาย...
หลังจากหาบฟืนไปส่งชายชราที่ตลาดสดแล้วชายหนุ่มก็กล่าวอำลาชายชราคนนั้น เพื่อเดินเร่ขายหนูตัวนั้นต่อไป
ไม่ว่าจะเจอใคร เขาก็จะร้องถามขายหนู พร้อมกับยกหนูให้ดูไปด้วย...ถ้ากลุ่มที่เจอเป็นหญิง ก็จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าด ดังจนแสบแก้วหูเลยทเดียว...
เดินถามมาจนเหนื่อย ก็ไม่เห็นมีใครมีทีท่าว่าจะซื้อเลยสักคนแล้วนี่มันจะขายได้ไหมเนี่ย.....
หลังจากเดินจนรอบตลาดแล้ว ก็ยังหาคนซื้อไม่ได้เขาจึงตัดสินใจเดินออกจากตลาด เพื่อไปเดินขายตามบ้านผู้คน...
ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ เขาก็เพิ่งจะเคยเข้าเมืองครั้งนี้เป็นครั้งแรก..ความอลังการ ความตื่นตาตื่นใจ สีสรรของเสื้อผ้าความากมายของผู้คน สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับเขาทำให้เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย...
ยิ่งเห็นสิ่งของแปลกๆ ก็ยิ่งทำให้เขาอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
อย่างก้อนเหล็กยาวๆ รีๆ ประมาณมือจับได้พอดีที่เขาเห็นใครๆ เอาไว้แนบหู แล้วก็พูดคุยคนเดียวอย่างกับคนบ้า บางคนก็เดินพูด บางคนก็นั่งพูดซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นทำอะไรกันจนมีคนบอกเขาว่า นั่นน่ะ เขาเรียกว่าโทรศัพท์มือถือและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ที่เขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก
คนบ้านนอกอย่างเขา อย่าว่าแต่โทรศัพท์มือถือเลยโค้กกระป๋อง เขาก็ยังไม่เคยเห็นเลยถ้าไม่มีไอ้หนูตัวนี้ ชาตินี้เขาคงไม่มีโอกาสมาเห็นอะไรๆ แบบนี้อย่างแน่นอน...
ในขณะที่เดินเพลิดเพลินชมกรุง ดูเทคโนโลยีสมัยใหม่เพลินๆเขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียก...
"ไอ้หนุ่ม... ไอ้หนุ่ม..."
เขาหันไปมองตามทิศทางของต้นเสียงก็เจอชายวัยกลางคน พุงพลุ้ย ยืนอยู่หน้าบ้าน"เอ็งหิ้วหนูจะเอาไปทิ้งถังขยะเหรอวะนั่น..." ชายวัยกลางคนถามขึ้น"เปล่าจ้า... ฉันกำลังเดินเร่ขายหนูตัวนี้อยู่จ้าลุง..." ชายหนุ่มตอบ"บ่ะ... เอ็งนี่ ท่าจะบ้าว่ะ... ข้าเคยเห็นแต่ใครๆเขาเอาหนูตายไปทิ้งขยะแต่เอ็งกลับเอามาขาย แล้วใครเขาจะซื้อวะ..."
"ไม่รู้เหมือนกันลุง... อาจจะมีสักคนที่เขาอยากจะซื้อก็ได้จ้า" ชายหนุ่มตอบด้วยความซื่อ
"เอางี้ก็แล้วกัน... ข้าซื้อไปให้แมวข้ากินก็ได้แต่ข้าให้แค่บาทเดียวนะ เกินกว่านั้น ข้าไม่ซื้อหรอกว่ะ..."ชายหนุ่มดีใจจนออกนอกหน้า...
"บาทเดียวก็บาทเดียวจ้าลุง..." ว่าพลางก็ยื่นหนูส่งให้ชายวัยกลางคนทันที
หลังจากรับเงินเหรียญบาทมาหนึ่งเหรียญเขาก็ดีใจเป็นที่สุด...ดีใจที่สามารถ ขายหนูได้จริงๆ...แบบนี้สิ เขาเรียกว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น...
"จากหนูตายหนึ่งตัว กลายมาเป็นเงินหนึ่งบาทแล้วเราจะทำยังไงต่อล่ะทีนี้ ถึงจะทำให้เรารวยได้" ชายหนุ่มยืนพินิจพิจารณาเหรียญบาทที่อยู่ในมือในขณะที่สมองก็ครุ่นคิดไป ด้วย"เถ้าแก่ เก้าแก่..."เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆเขา
"วันนี้จะซื้ออะไรบ้างล่ะครับ..."ชายคนที่ซื้อหนูเขาไปนั่นเองคือเถ้าแก่
เขาทักทายปราศัยชายคนที่เรียกนั้นเป็นอย่างดีไอ้หนุ่มชาวนายืนดูเหตุการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าจนชายคนนั้นจากไป ความสงสัยทำให้เขาถามเถ้าแก่ออกไปว่า"ลุง เอ้ย เถ้าแก่ครับ... ผู้ชายคนนั้น เขาซื้อของไปทำไมตั้งเยอะแยะครับ..."
"เขาซื้อเอาไปขายน่ะสิ... ร้านอั๊วเป็นร้านขายส่ง คนขายของส่วนใหญ่ก็จะมาซื้อของที่นี่แหล่ะ"ถึงแม้เขาจะไม่เคยเป็นพ่อค้าแต่ ฟังเท่านั้นเขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าคนมาซื้อของที่นี่ แล้วก็เอาไปขายต่ออีกที"แล้ว... หนึ่งบาทของผมนี่ จะซื้ออะไรเถ้าแก่ได้บ้างครับ"เขาถามขึ้น
เถ้าแก่มองหน้าเขาพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก แล้วตอบไปว่า"ไม่รู้จะซื้ออะไรได้บ้างนะ หนึ่งบาทเนี่ย...เอาอันนี้ไปก็แล้วกัน..."
พูดจบเถ้าแก่ก็หยิบน้ำตาลปึกที่อยู่ข้างๆ ส่งมาให้หนุ่มน้อยชาวนา 2 ก้อน...
เขารับเอามาพร้อมกับจ่ายเงินหนึ่งบาทนั้นให้เถ้าแก่คืนไปแล้วก็เดินจากมา...
ชายหนุ่มถือน้ำตาลปึกเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะเอาไปขายให้ใครเหมือนกัน
จนมาถึงหน้าโรงงานแห่งหนึ่ง คนกำลังเลิกงานพอดีเขารีบคลี่น้ำตาลปึกออกจากห่อ แล้วถามขายให้ผู้คนทันที
คนแล้วคนเล่า ไม่มีใครซื้อเขาเลยจนเดินมาถึงรถเข็นขายของคันหนึ่ง
เขาหยุดยืนพักอยู่ข้างๆ สิ่งที่เขาเห็นก็คือคนงานหยุดซื้อของจากรถเข็นคันนี้เรื่อยๆในรถเข็นมีของ หลายสิ่งหลายอย่างให้เลือกซื้อดูแล้วน่าสนใจ ผิดกับเขา ที่ถือห่อน้ำตาลปึกสองก้อนดูแล้วมันไม่น่าซื้อซะเลย...
พอแม่ค้าว่าง เขาจึงเดินเข้าไปทักทายด้วยความอ่อนน้อมด้วยจิตใจที่งดงามของเขา ด้วยมารยาทที่ดีทำให้เขาสามารถได้มิตรไมตรีจากแม่ค้าคนนั้นเขาขอแม่ค้าวาง น้ำตาลปึกของเขาเพื่อขายด้วยแม่ค้าก็ยินดีให้วางได้...
ขณะที่รอขายของ เขาก็ซักถามพูดคุยกับแม่ค้าไปเรื่อยเปื่อยแต่สิ่งหนึ่งที่เขาได้รู้จากแม่ ค้าก็คือ...แม่ค้าคนนี้ ขายของแบบนี้มา 10 ปีแล้วกำไรที่ได้ ก็พออยู่ได้ไปเดือนชนเดือนจะให้ร่ำรวยนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก
"แล้วป้าไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นที่ทำให้รวยได้เหรอครับ..."เขาถามขึ้น
"ก็เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรน่ะสิ... ที่ทำได้ก็ที่เห็นนี่แหล่ะเกิดไปทำอย่างอื่นแล้วไม่ได้อย่างที่คิดจะทำอย่าง ไรล่ะจะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าว เอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกป้าไม่กล้าเสี่ยงหรอก..."แม่ค้าอธิบายเหตุผลให้ชาย หนุ่มฟัง
เขาได้ฟังแม่ค้าบอกดังนั้น ก็เข้าใจทันทีเลยว่าเหตุใด คนที่อยากรวยหลายๆคน จึงไม่รวยเพราะความเสี่ยงนี่เอง...คนไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ก็เลยต้องทำอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวันเพราะมันมีความมั่นคงกว้า....
"แม่ค้า.. น้ำตาลปึกนี่ ขายยังไงคะ..."เสียงคนงานสาวคนหนึ่งดังขึ้น ดึงเขาออกมาจากความคิด"อันละบาทจ้าหนู เหลือแค่สองอันเอง หนูจะเอาหมดเลยไหม"แม่ค้าถามกลับ
"เอาสองอันเลยก็ได้ค่ะ... จริงๆแล้ว หนูอยากดื่มน้ำอ้อยมากกว่าแต่ไม่เห็นมีใครเอามาขายเลย"สาวโรงงานบ่นให้แม่ ค้าฟัง พร้อมกับจ่ายเงินค่าน้ำตาลปึกแล้วก็เดินจากไป
"โห... ป้า ไอ้น้ำตาลปึกนี่มันขายได้ก้อนละหนึ่งบาทเลยเหรอ"หนุ่มน้อยชาวนาถามขึ้น
"เขาก็ขายก้อนละบาทกันทั้งนั้นแหล่ะ... อ้าวนี่เอ็งเอามาขาย เอ็งไม่รู้เหรอว่าเขาขายก้อนละเท่าไร"
"ไม่รู้ครับ..." เขาทำหน้าอายๆพร้อมกับรับเงิน 2 บาทจากแม่ค้า สักพักก็ขอลากลับบ้านตอนนี้เขามีเงิน 2 บาทแล้ว...
ระหว่างที่จะเดินทางกลับบ้านนอกเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ไม่รู้จะกลับไปทำไมพ่อแม่ของเขาก็ไม่มี เขาอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กบ้านของเขาก็หามีไม่ อาศัยหลับนอนศาลาเก็บศพเก่าๆที่เขาเลิกใช้กันไปแล้ว ข้าวของก็แทปไม่มีอะไรเลยอีกอย่าง ระยะทางก็ไกลโขเอาการอยู่ทีเดียว
และที่สำคัญ เขาจะต้องสร้างตัวให้ร่ำรวยภายใน 1 ปีเวลาของเขามีน้อยเหลือเกิน
เท้าไวเท่าความคิด...เขาเปลี่ยนเส้นทางทันที มุ่งหน้าสู่บ้านของเถ้าแก่
เพราะไม่รู้จะไปทางไหน ที่พอนึกได้ก็บ้านของเถ้าแก่คนเดียวเท่านั้น...
ไม่นานนัก เขาก็ยืนอยู่หน้าบ้านเถ้าแก่เขารู้สึกลังเล เก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเข้าไปดีหรือไม่ตัดสินใจอยู่นานทีเดียวที่สุดก็ตัดสินใจอย่างเด็ด เดี่ยวที่จะเข้าไปขอพึงพิงเถ้าแก่
"อ้าว... พ่อหนุ่ม... มาซื้ออะไรอีกเหรอ ร้านอั๊วจะปิดแล้วนะ"เถ้าแก่ทักขึ้นเมื่อเห็นหนุ่มน้อยชาวนาเดินเข้ามาหาเขา ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า"หวัดดีอีกครั้งครับเถ้าแก่... พอดีผมขายน้ำตาลปึกหมดแล้วได้เงินมาสองบาทแน่ะครับ"ไม่รู้จะบอกยังไงที่จะขอ พักอยู่ที่นี่สักคืนก็เลยพูดเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน...
"แล้วนี่ ลื้อจะมาซื้อเอาไปขายอีกเร๊อะ..." เถ้าแก่ถามขึ้น
"เปล่าครับ พอดีบ้านผมอยู่บ้านนอก ห่างจากที่นี่ไกลมากๆผมเลยตั้งใจว่าจะมาขออาศัยพักกับเถ้าแก่สักคืนผมทำงาน แลกก็ได้นะครับ"ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง เพราะได้บอกความต้องการออกไปแล้วรอแต่เพียงคำตอบจากเถ้าแก่ ซึ่งก็ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เหมือนกัน
เถ้าแก่นิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ๆ เพราะรู้สึกไม่ค่อยจะไว้ใจเขาสักเท่าไรแล้วก็ตัดสินใจตอบไปว่า
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวลื้อไปนอนที่โรงปลาทูของอั๊วคืนนี้เขานึ่งปลาทูกัน ลื้อก็ช่วยงานเขาเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน"พูดจบเถ้าแก่ก็หันไปหาลูกน้องคน หนึ่งพร้อมกับสั่งว่า
"อาโยเอ้ย ตอนลื้อจะกลับไปโรงปลาทู พาอ้ายหนุ่มคนนี้ไปด้วยนะให้อีช่วยงานลื้ออะไรก็ได้ แล้วหาที่หลับที่นอนให้อีด้วยล่ะ"คนงานชื่อโย รับคำเสร็จก็ทำงานต่อ
ไม่ต้องรอให้ใครบอก หนุ่มน้อยชาวนาก็กุลีกุจอ ช่วยงานนายโยอย่างแข็งขัน...หลังจากปิดร้านเสร็จ เพื่อนใหม่ชื่อโย ก็พาเขาไปยังโรงปลาทู...
เมื่อคืนที่ผ่านมา หนุ่มน้อยชาวนาก็ได้รู้จักอาชีพอีกอาชีพนั่นก็คือ ลูกจ้าง ก็จากการพูดคุยกะนายโยเพื่อนใหม่นี่แหล่ะ...โยทำงานอยู่กับเถ้าแก่มาแล้ว 3 ปีหนุ่มน้อยชาวนาก็ได้รู้อีกว่า ถ้าเขาทำงานอย่างโยอย่าว่าแต่ 1 ปีเลย ตลอดชีวิตก็ไม่สามารถรวยได้
หลังจากกินข้าวกินปลากันเสร็จเรียบร้อยโยก็พาหนุ่มหน้อยชาวนาไปยังร้าน เถ้าแก่เพื่อเตรียมเปิดร้านแต่เช้า...ตอนกลางวัน โยต้องมาช่วยเถ้าแก่ที่ร้านตอนกลางคืน ต้องนึ่งปลาทูตอน ตี 2 ถึงตี 4เขาจะได้นอน 2 ช่วง คือ หลังจากเก็บร้านเสร็จแล้วกลับโรงงานปลาทูก็อาบน้ำกินข้าวนอน
และมาตื่นตอน ตี 2- ตี 4นึ่งปลาทูเสร็จเขาก็กินข้าวเช้าและมาเปิดร้านให้เถ้าแก่
ชายหนุ่มเคยถามโยว่า ไม่อยากทำงานอย่างอื่นหรือโยบอกเขาว่า ความรู้น้อย ไม่รู้จะไปทำอะไรก็เลยต้องำงานอยู่กับเถ้าแก่แบบนี้แหล่ะ...
คำตอบของโยทำให้หนุ่มน้อยชาวนานึกถึงแม่ค้าขายของหน้าโรงงาน...
และอีกคนที่เขานึกถึงคือ หลาวพี่เปี้ยก พระที่เขารู้จักเขาเคยถามหลวงพี่ว่า หลวงพี่เคยคิดอยากจะลาสิกขาไหมหลวงพี่เปี้ยกบอกเขาว่า คิดหลายครั้งเหมือนกันแต่ถ้าลาสิกขาออกไปแล้ว ก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร.. นอกจากคนทั้งสามนี้แล้ว คงมีคนอีกมากมาย ที่คิดแบบนี้
ที่บ้านเถ้าแก่หลังจากช่วยนายโยกับคนงานอื่นๆ จัดร้านเสร็จแล้ว
หนุ่มน้อยชาวนา ก็รอโอกาสให้เถ้าแก่ว่าง
"เถ้าแก่ครับ... เถ้าแก่รวยที่สุดในเมืองนี้หรือเปล่าครับ"หนุ่มน้อยชาวนาถาม
เถ้าแก่อึ้งไปเล็กน้อย แล้วตอบว่า"ไม่หรอก.. อั๊วก็แค่พอมีทรัพย์สินเงินทองบ้างเท่านั้นแหล่ะมีคนรวยกว่าอั๊วอีกตั้งเยอะ แยะ... ลื้อถามไปทำไมวะ"หนุ่มน้อยชาวนาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เถ้าแก่ฟัง
"โอ้โห... ให้รวยที่สุดในเมืองภายในหนึ่งปีนี่นะ...มันเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ... ข้าทำมาหากินมาเกือบทั้งชีวิตก็เพิ่งจะพอมีบ้างเท่าที่เห็นนี่แหล่ะ...ข้า ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ลื้อเลิกคิดซะเถอะว่ะ..."
"ผมตั้งใจแล้วครับ ขอทำให้ถึงที่สุดก็แล้วกันครับ"ชายหนุ่มหยุดคิด แล้วพูดต่อว่า"เมื่อวานวันเดียว จากไม่มีอะไรเลย ผมยังหาเงินได้ตั้งสองบาทแล้วครับ..."เขารู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานของเขาเป็น อย่างมากส่วนเถ้าแก่ ก็หัวเราะ ชอบใจอยู่ในลำคอด้วยความเอ็นดู..."แล้วใครรวยสุดในเมืองนี้หรือครับ..." ชายหนุ่มถาม
"อืมมมมมม.... ข้าว่า น่าจะเป็นเศรษฐีไม้เท้าทองคำว่ะเห็นแกสร้างตึกสูงล้ำ เสียดฟ้าแทงเมฆนั่งคิดคำนวณตัวเลข ทุกค่ำทุกเช้า คิดจะเอากำไรมีที่ดินตั้งหมื่นแสนไร่ รถยนต์มากมาย ยิ่งกว่าร้านขายรถยนต์บริวาร วิ่งกันสับสน แกเลี้ยงผู้คน แทนฝูงวัวควาย..."เถ้าแก่วิเคราะห์ให้ชายหนุ่มฟัง...
"เถ้าแก่แนะนำทางไปบ้านเขาให้ผมหน่อยสิครับ... ผมจะไปหาเขา"ชายหนุ่มถามพร้อมกับทำหน้าตาจริงจัง
"เขาจะให้แกพบเหรอวะ... เวลาเขาเป็นเงินเป็นทอง"
"ไม่เป็นไรครับ... บอกทางผมเถอะครับ ผมจะเสี่ยงดวงเอาเอง"เห็นแววตามุ่งมั่นของหนุ่มน้อยชาวนาแล้ว เถ้าแก่ก็เลยบอกทางให้...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น